วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

HONDA CBR1000



กลับมาคราวนี้ฮอนด้าได้ส่งมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รุ่นใหม่ๆเข้าตลาดรถทุกเซ็กเม้นท์และทุกสไตล์เลยทีเดียว สำหรับ HONDA CBR1000RR (ฮอนด้า ซีบีอาร์1000อาร์อาร์) ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่ตอบสนองความมันส์ของชาวไบค์เกอร์ทั้งหลายได้อย่างแน่นอน เรียกว่าเป็น BIGBIKE อีกคันหนึ่งที่กำลังรอการพิสูจน์ความแรงของคนรักการขับขี่ MOTORCYCLE อย่างแท้จริง ในเรื่องสัดส่วนต่างๆ ถือว่าเป็น SPORT BIKE ที่ชัดเจนมากๆ ยิ่งในเรื่องของซัสเพนชั่นและอันเดอร์เอ็นจิ้นต่างๆถือว่าสมบูรณ์แบบสุดๆ
โดยทางค่ายปีกนกยังแอบเซ็ทค่าความมันส์มาให้ขาซิ่งได้ฟินกันแบบเต็มที่ด้วยโช๊คอัพหน้าและโช๊คอัพหลังของโอลินส์ แถมระบบเบรคก็ฟินขึ้น ตื่นเต้นกระชับมากกว่าเดิมพร้อมเติมเต็มความเหนือชั้นและไฮคลาสด้วยยางของพิเรลลี่ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบเบรคเอบีเอสเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย ถือว่าCBR1000RR เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ดีเยี่ยมจริงๆ โครงสร้างก็แข็งแรงมากๆ แถมมีน้ำหนักเบาเอาใจคอ SPORT อย่างเต็มรูปแบบ

เฉดสีและราคา CBR1000RR

ภายนอกตอนนี้ออกมาแล้ว 3 สีด้วยกันนะครับ สีแรกของ ฮอนด้า ซีบีอาร์1000อาร์อาร์ เป็นทริปเปิ้ลคัลเลอร์สครับ คือสีขาวแดงน้ำเงิน ผสมผสานกันเป็นไตรคัลเลอร์หรือว่าสามสีนั้นเอง แสดงความเป็นสปอร์ตได้อย่างชัดเจมากๆ ต่อมาเป็นสีแดงครับแดงทั้งคัน แดงล้ำ แดงร้อนแรง ถัดมาติดๆกับสีโฟร์สีซั่น อย่าง สีส้ม ดำ แดง ขาว เร้าใจขาซิ่งโดยเฉพาะ และยังมาพร้อมล้อสีส้มสุดจี๊ดอกด้วย ถือว่าเป็นสามสีที่น่าสอยมาขี่ทั้งหมดเลยทีเดียว
สำหรับราคา CBR1000RR ตอนนี้ในประเทศไทยขายอยู่ที่ 685,000 บาท ส่วนของต่างประเทศอยู่ที่ $13,999 และยังมีบวก เดสติเนชั่น ชาร์จอีก $310.00 ด้วยครับ ซึ่งเป็นราคาเริ่มต้นเท่านั้น คาดว่าแต่ละสีราคาแตกต่างกันแน่นอน และออพชั่นเสริมของแต่ละสีก็ไม่เท่ากันด้วย อย่าง ทริปเปิ้ลคัลเลอร์จะขายที่ $13,999 สีแดงจะขายที่ $14,999 โดยมาพร้อมระบบเบรคเอบีเอสในสีนี้ ต่อที่ สีโฟร์สีซั่นรุ่น SP Repsol Champion Special นั้นจะมีการวางขายในราคา $17,299 เลยทีเดียว

มาดูการออกแบบภายนอกกันหน่อยนะครับ สำหรับ CBR1000RR นั้นจะเน้นความเป็นสปอร์ตเรียบหรู ที่ดูยังไงก็พรีเมี่ยม ภายนอกมีการพัฒนาเรื่องดีไซน์ได้อย่างล้ำสมัยมากๆ ใช้ไฟหน้าแบบดูออล พร้อมไฟเลี้ยวหลังกระจกมองข้างก้านสั้นแต่ว่ามีขนาดใหญ่ กระจกกั้นลมหน้าขนาดกำลังดี เข้ากับครอบไฟหน้าได้อย่างลงตัว ตัวถังโค้งมนเพิ่มองศาความซ่าและใหญ่ได้อย่างเต็มรูปแบบ เบาะนั่งออกแบบมาให้เป็นแบบแยก สามารถซิ่งได้อย่างอิสระ นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อน สนองความสบายยิ่งขึ้นด้วยที่วางเท้าทรงสปอร์ตเพื่อคอสปอ์ตโดยเฉพาะ

ท่อไอเสียก็มีขนาดใหญ่สวยงามโดนใจจริงๆครับ ต่อกันที่มาตราวัดความเร็วก็เท่ไม่ซ้ำใคร เน้นความทันสมัยด้วยระบบดิจิตอล พร้อมฟังก์ชั่นการทำงานที่แสดงผลข้อมูลได้อย่างแม่นยำ แฮนด์บาร์ดีไซน์กว้างยาวกำลังดี ทรงหมอบขี่แนวสปอร์ต ไฟท้ายมีขนาดใหญ่พอสมควร พร้อมไฟเลี้ยวแบบแยก มิติภายนอกCBR1000RR มีระยะเทรล 96.0มม. มีระยะฐานล้อ 55.5นิ้ว, เบาะนั่งมีความสูง 55.5นิ้ว รวมน้ำหนักแล้วอยู่ที่ 467.3ปอนด์ ซึ่งสามารถบรรจุน้ำมันได้ 4.6 แกลลอนโดยประมาณ

ขุมกำลังและความปลอดภัย
สำหรับเครื่องยนต์ จะแบ่งออกเป็น 3 รุ่นนะครับจะมีออพชั่นเสริมเล็กน้อย แต่ก็ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบ 999ซีซี liquid-cooled inline four-cylinder ที่มีระยะการชักของกระบอกสูบที่ 76mm x 55.1mm และใช้อินดัคชั่นแบบ Programmed Dual Stage Fuel Injection (PGM-DSFI) with 46mm throttle bodies, Denso 12-hole injectors เผาไหม้ด้วย Computer-controlled digital transistorized with 3-D mapping มีอัตราการอัด 12.3:1 และใช้วาล์วเทรนแบบดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ สี่วาล์วต่อกระบอกสูบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ Close-ratio six-speed มีไฟนอลไดรฟ์แบบ 530 โอริง ซีลเชน และนี่ก็คือเครื่องยนต์ของ HONDA CBR1000RR


ความปลอดภัยและช่วงล่างใช้โช๊คอัพหน้าแบบ 43mm inverted Big Piston fork with spring preload และโช๊คอัพหลังแบบ Unit Pro-Link Balance Free Rear Shock พร้อม spring preload ใช้ดิสก์เบรคหน้าแบบ Dual radial-mounted four-piston calipers และดิสก์เบรคหลังแบบ Single caliper 220mm disc โดยแบ่งออกเป็นสองรุ่น มีทั้งรุ่น ที่ติดตั้ง Honda Electronic Combined ABS และไม่ได้ติดตั้ง Honda Electronic Combined ABS พร้อมยึดเกาะถนนด้วยยางหน้าแบบ 120/70ZR-17 radial และยางหลังแบบ 190/50ZR-17 radial


นอกจากนี้ เจ้าบิ๊กไบค์ตัวนี้ยังมีออพชั่นเสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นล้อขนาด 17นิ้ว WHEEL STRIPE STICKER, คาร์บอนไฟเบอร์ ไลเซนส์เฟรม, คาร์บอนไฟเบอร์ แทงค์ แพ็ด, ไซเคิลคัฟเวอร์, เอเนอร์จี้ ซีท อีคิวชั่น, ดับเบิ้ลอาร์ไทร์ ฮักเกอร์ แบล็ค, ดับเบิ้ลอาร์ ไทร์ ฮักเกอร์ เร้ด, ดับเบิ้ลอาร์ไทร์ฮักเกอร์ เรพซอล, ดับเบิ้ลอาร์ฮักเกอร์ ไวท์ , และเรซิ่งคัฟเวอร์ และนี่ก็คือ แอสเซสเซอรี่ของ BIGBIKE รุ่นนี้ครับ
ถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้ทั้งแบบอิน OPTION และ OUT OPTION เลยทีเดียว และนี่แหละครับ รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รุ่นใหญ่ตัวจริงที่จะมาสร้างความมันส์ในตลาดรถสองล้อปี 2015 ได้อย่างเต็มคราบ HONDA CBR1000RR สปอร์ตไบค์ไซส์ BIG ที่ได้พัฒนามาอย่างสมบูรณ์แบบคันนี้จะช่วยสร้างความมันส์ให้คุณได้แน่นอนครับ


Ducati Monster 821

Ducati ถือเป็นแบรนด์รถยุโรปอันดับแรกๆ ในประเทศไทยที่ได้ลงทุนสร้าง Plant (โรงงานประกอบรถ) ภายในประเทศ ทั้งเพื่อส่งออกและวางจำหน่ายให้กับลูกค้าภายในประเทศไทย ส่งผลให้คนไทยสามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น โดยเน้นโมเดลทำตลาดหลักอย่าง Monster 795 มาตั้งแต่ช่วงปี 2011 ซึ่งช่วยส่งผลในการสร้างความนิยมในแบรนด์ Ducati ได้มากขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเมื่อปลายปี 2014 Ducati Thailand ก็ได้เปิดตัว Monster เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่มาทดแทนรุ่น M795 และ M796  ในรหัส 821 ที่นำเครื่องยนต์ของ Hypermotard, Hyperstrada มาจับใส่พร้อมเทคโนโลยี electronics อีกมากมาย นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ (ในทางที่ดีขึ้น) นอกจากนี้กับปรากฎการณ์ใหม่ ที่ให้คุณขี่ Ducati Monster 821 คันนี้ ได้อย่างสบายใจไร้กังวลกับค่าบำรุงรักษา (Worry Free Program) นานถึง 2 ปี 25,000 กม.

แม้ว่าตัวผู้เขียนเองจะไม่ได้มีโอกาสไปร่วมทดสอบ “Monster 821 Asia Premiere” เมื่อเดือนเมย.ที่ผ่านมา แต่เราก็ได้รับโอกาสอันดีจาก Ducati Ratchapruek สำหรับเจ้าปีศาจแดงคันนี้ และ คุณอิสเรศ พวงแก้ว ที่ได้นำรถ M821 ที่เพิ่งรับรถกันมาหมาดๆ มาร่วมถ่ายภาพใน รีวิว Ducati Monster 821 (M821) คันนี้กันอย่างใกล้ชิดด้วย

เริ่มมองเจ้า M821 ครั้งแรกด้วยสายตาเราจะพบว่า ถังน้ำมันช่วงบนจะมีขนาดใหญ่มากขึ้น ราวกับมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากกว่าเดิม  ซึ่งนั้นเป็นผลมาจาก ถังน้ำมันที่ขนาด 17.5 ลิตร (จุมากกว่า M795 ที่ 2.5 ลิตร, จุกว่า M796 ถึง 4 ลิตร)  สำหรับน้ำหนักตัวจะอยู่แบบ Dry อยู่ที่ 179.5 กก. และแบบ Wet 205.5 กก. เรียกได้ว่าน้ำหนักกำลังดี ไม่มากไม่น้อย

ไฟหน้ารูปทรงกลมแต่ดูเรียวยาวมากขึ้นมาพร้อมไฟ DRL แบบ LED ดูดีทันสมัย ขณะที่ไฟท้ายเป็นแบบ LED เช่นกัน ด้านท้ายมาพร้อมตูดมดปิดเบาะท้ายเสริมความเท่เวลาขี่คนเดียว M821 ได้มีการติดตั้งมือจับหลังให้ สะดวกสบายต่อผู้ซ้อนรวมถึงเวลาเข็นรถก็ทำได้สะดวกขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าเอกลักษณ์ทางด้านหน้าจะหายไปเนื่องจากวินชิลด์ขนาดจิ๋วที่บังเรือนไมล์นั้นไม่มีมาใน M821 คันนี้

ล้ออลูมีนัมอัลลอย 10 ก้านใหม่ น้ำหนักเบา Ducati ได้การันถึงความแม่นยำในการควบคุมรถด้วยความเร็วว่าดีขึ้น ล้อหน้าขนาดกว้าง 3.5”x17” และ ล้อหลัง 6”x17” หุ้มยาง Pirelli Diablo Rosso II ขนาด 120/70 (หน้า) และ 180/60 (หลัง)

หากมองจากมุมหน้าตรง เราจะพบปีกหม้อหน้าที่มีขนาดใหญ่ยื่นยาวออกมาดูเกะกะไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะนี่ล่ะคือสิ่งที่แฟนๆ Ducati ต่างเฝ้ารอคอย นอกจากนี้เอกลักษณ์ท่อไอเสียคู่ออกด้านท้าย ก็โยกตำแหน่งมาอยู่ทางด้านข้างแทน โดยวางรูปแบบท่อไอเสียแบบ 2-1-2

เรือนไมล์แบบ LCD แสดงผลครบครันทุกรายละเอียดทั้ง นาฬิกา, อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ยตลอดทริป, อุณหภูมิภายนอก และหม้อน้ำ โหมดขับขี่, ABS และ DTC   ขณะที่ความเร็วถูกแสดงเป็นตัวเลขดิจิตัลตรงกลาง ส่วนรอบเครื่องจะเป็นสเกลแนวนอนทางด้านบน  ซึ่งจะดีกว่านี้หากมีเกจ์วัดระดับน้ำมัน และไฟบอกเกียร์เพิ่มเติม
จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์น่าประทับใจ คือ เบาะปรับสูง-ต่ำได้ 2 ระดับ ที่ 785 มม. และ 810 มม. ทำให้ M821 คันนี้เป็นมิตรกับทั้งผู้หญิง หรือผู้มีสรีระทุกรูปแบบ  ซึ่งท่านั่งขับขี่นั้นหากปรับเบาะสูงขึ้นจะพบว่าตำแหน่งท่านั่งจะถูกร่นขึ้นและช่วงหัวเข่าจะพบว่าแนบกระชับกับถังน้ำมันได้ดีกว่า ซึ่งเหมาะกับการขี่ในรูปแบบสปอร์ต แต่การปรับเบาะเตี้ยนั้นจะพบความสบายในการวางขาได้ดียิ่งกว่า ซึ่งนอกจากจะขึ้นกับสรีระแต่ละคนแล้ว สไตล์การขับขี่ของแต่ละคนก็จะเป็นตัวกำหนดการปรับเบาะได้ด้วยเช่นกัน



ในส่วนของตำแหน่งแฮนด์บาร์ นั้นด้วยลักษณะแฮนด์ที่กว้างและมีตำแหน่งที่ยกสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้ท่านั่งดูสบายต่อการเดินทางมากขึ้น เหมาะแก่การขี่ Touring ออกทริปได้เป็นอย่างดี แต่ตัวแฮนด์ที่มีขนาดเล็ก ทำให้ Grip ในการจับยังไม่เต็มไม้เต็มมือเท่าที่ควร ผู้ที่มีฝ่ามือใหญ่อาจจะจับได้ไม่กระชับนัก
แม้ว่ารถจะมีการติดตั้ง Slipper Clutch ซึ่งช่วยให้มันมีภาษีดีขึ้นจากการลดแรงกระทำจากเครื่องยนต์ลงสู่ล้อหลัง (Engine Brake) ได้ดีก็ตาม แต่มันยังมีจุดที่น่ารำคาญไปบ้าง คือ หากใส่รองเท้าบู๊ทขี่ การเข้าเกียร์อาจพบอาการเกียร์ว่าว (ว่าง) บ่อยมาก เนื่องจากต้องกระดกข้อเท้าขึ้นให้สุด และตบข้อเท้าลงให้สุดเช่นกัน แต่อาการดังกล่าวจะไม่พบเมื่อเราเร่งเครื่องไปถึงรอบที่พอเหมาะ และเตะเกียร์ขึ้นทันทีโดยไม่ต้องกำคลัช ซึ่งกำลังจากเครื่องยนต์ที่ยังมาต่อเนื่องจะช่วยให้การเข้าเกียร์นั้นง่ายยิ่งขึ้น

จุดที่น่าประทับใจมาก ที่ต้องกล่าวถึง นอกเหนือจากสมรรถนะ ก็คือ เรื่องระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่แม้จะพบไอร้อนที่บริเวณเท้าซ้ายอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่ามันดีกว่าเดิมเยอะ เรียกได้ว่าไข่ไม่สุก ขาไม่พอง และไอร้อนที่บริเวณก้นกบ ก็ได้หายไปเนื่องจากทางเดินไอเสียถูกปรับเปลี่ยน ว่าง่ายๆ หากใส่กางเกงขายาว เรายังทนจอดไฟแดงโดยไม่ต้องดับเครื่องยนต์ในเวลากลางวันที่รถติดแดดร้อนได้อยู่ (เมื่อพัดลมยังไม่ทำงาน)



kawasaki z 1000


Kawasaki Z1000 ABS พี่ใหญ่ตระกูล Z ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างล้ำมิติ ทุกสัดส่วนถูกบรรจงสร้าง และได้รับการดีไซน์อย่างลงตัวตั้งแต่หัวจรดท้าย ด้วยรูปลักษณ์ประหลาดที่ดูเหมือนเอเลี่ยน แต่แผงไปด้วยพลังที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบ Bigbike ไฝ่ฝันอยากได้มาครอบครอง

Kawasaki Z1000 ABS ได้รับการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ขนาด 1,043 cc. 4 สูบแถวเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้อัตราเร่งเต็มพิกัดปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มแรงบิดในช่วงรอบกลาง และช่วงปลาย Redline ให้มากขึ้น และปรับปรุงกล่อง ECU ใหม่ ให้แรงบิดสะใจมากกว่ารุ่นเดิม

Kawasaki Z1000 ABS ยังคงเอกลักษณ์ของแผงมาตรวัดแบบดิจิตอล ขนาดพอเหมาะแสดงผลด้วยหน้าจอ LCD บอกอัตราความเร็ว รอบเครื่องยนต์ รวมทั้งบอกอัตราบริโภคน้ำมันในโหมด Economical Riding เพื่อความประหยัดน้ำมัน

Kawasaki Z1000 ABS ไฟหน้าแบบ LED ที่ทำให้หน้าตาของเจ้า Z1000 ดูดุดันเหมือนสัตว์ประหลาด หรือเอเลี่ยนในภาพยนต์ เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของรุ่นนี้ รวมทั้งไฟเลี้ยวแบบ LED สว่างมองเห็นได้ชัดเจน เพิ่มมิติให้กับหน้าตาอันล้ำอนาคตของมันได้อย่างลงตัว

Kawasaki Z1000 ABS ระบบกันสะเทือนของ Z1000 ออกแบบพิเศษด้วยการวางตำแหน่งโช้คอัพและกระเดื่องไว้ด้านบนสวิงอาร์ม ทำให้ความร้อนจากท่อไอเสีย ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของโช้คอัพ ทำให้มั่นใจทุกสภาพผิวไม่ว่าจะราบเรียบ หรือขรุขระ

Kawasaki Z1000 ABS มีถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ สามารถจุเชื้อเพลิงได้ถึง 17 ลิตร ออกแบบรูปทรงให้เข้ากับท่านั่งพร้อมแฮนด์บาร์สไตล์ Naked

Kawasaki Z1000 ABS มาพร้อมกับดิสก์เบรคคู่ล้อหน้าขนาดใหญ่ 310 มิลลิเมตร ล้อหลังดิสก์เบรค ขนาด 250 มม. พร้อมมั่นใจด้วยคาลิปเปอร์เบรคแบบ 4 ลูกสูบ และระบบเบรค ABS 



Kawasaki Ninja

คาวาซากิ นินจา แซดเอ็กซ์ 10 อาร์ ปี 2016 (Kawasaki ZX10R 2016) รุ่นใหม่ Kawasaki Ninja ZX10R 2016 เปิดตัวในสเปนแล้วเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 5 แสนบาท

          เป็นการเปิดตัวที่ทำให้วงการบิ๊กไบค์ทั่วโลกต้องหยุดมองเพราะถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับรถธงของบิ๊กไบค์สายพันธุ์สปอร์ตอย่าง Kawasaki Ninja ZX-10R 2016 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 และแม้ว่ารุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะดูไม่แตกต่างจากรุ่นที่แล้วมากนัก




 แต่แฟริ่ง แชสซีส์ ช่วงล่างระบบอิเล็กทรอนิกส์ เบรกและระบบระบายไอเสียนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งหมดถูกปรับปรุงเพื่อให้ผู้ขับขี่เกิดความพึงพอใจมากที่สุดจากโรงงานโดยทีมแข่งระดับโลก ได้นาย Tom Sykes เป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนา
          จนทำให้ Kawasaki Ninja ZX-10R ปี 2016 โฉมใหม่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบิ๊กไบค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่ออกมาจากโรงงานเพื่อรับมือกับ Suzuki GSX-R1000 ปี 2016 รวมไปถึงคู่แค้นอย่าง Honda CBR 1000RR Fireblade ที่สามารถชนะการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่อันตรายที่สุดในโลกอย่าง Isle of Man TT ได้ในปีนี้

  2016 Kawasaki ZX-10R ถูกกำหนดให้มีแฟริ่งขนาดใหญ่ขึ้นโดยทีมแข่งตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้อากาศไหลผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความมั่นคงขณะขี่ด้วยความเร็วสูง รวมถึงป้องกันการปะทะจากกระแสลม ทาง Kawasaki ระบุว่าจะช่วยให้นักแข่งสามารถเปลี่ยนท่าขณะเบรกในโค้งได้ง่ายขึ้น เพราะปราศจากกระแสลมปั่นป่วน

          ส่วนกระจกบังลมหน้าที่ถูกออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกับแฟริ่งป้องกันการสั่นกระพือขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ในขณะที่ช่องดักอากาศด้านข้าง กระจกบังลมจะช่วยให้กระแสลมไหลผ่านผู้ขี่ไปได้อย่างสะดวกและมั่นคง รวมถึงบังโคลนถูกออกแบบให้รีดอากาศไหลผ่านเข้าสู่หม้อน้ำเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน

 เครื่องยนต์เดิมแบบ 4 จังหวะ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 998 ซี.ซี. ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ฝาสูบไทเทเนียมให้กำลังสูงสุดที่ 200 แรงม้า ที่ 13,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,500 รอบ/นาที


   Kawasaki Ninja ZX-10R ปี 2016 เปลี่ยนมาใช้เฮดเดอร์ไทเทเนียมขนาดเดียวกับที่ใช้สำหรับแข่งเพื่อลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกรองไอเสียแบบ 3 ทาง เพื่อช่วยให้ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษในระดับ Euro 4 ในขณะที่ท่อพักก็จะใช้ไทเทเนียมด้วยเช่นกัน

          ส่วนของแชสซีส์อาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนักแต่ได้มีการขยับตำแหน่ง Headstock ให้เข้ามาใกล้ผู้ขับขี่มากขึ้น เพื่อช่วยในการถ่ายเทน้ำหนักลงสู่ล้อหน้า และยืดสวิงอาร์มให้ยาวขึ้นอีก 15.8 มิลลิเมตรจากรุ่นเดิมที่ช่วยกระจายน้ำหนักจากล้อหน้าเพื่อให้มีความมั่นคงขณะวิ่งและเบรกรวมถึงเข้าโค้งได้ดียิ่งขึ้น

ตะเกียบหน้าขนาด 43 มม. ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่และความมั่นคงขณะเบรกกับระบบกันสะเทือนที่ใช้โช้คอัพแบบ Upside-Down ที่ผ่านการปรับแต่งจากทีมแข่งขันในระดับโลกของ Kawasaki ร่วมกับ Showa เพื่อความสมดุลที่ล้อหน้าในขณะที่ด้านหลัง โช้คอัพแนวนอนแบบ Balance Free gas-charged โดยระบบกันสะเทือน สามารถปรับค่าการยุบตัวและความหนืดของโช้คอัพได้ รวมถึงความสูงต่ำของตำแหน่งการนั่งขับขี่ได้

   สำหรับระบบเบรกของ Kawasaki Ninja ZX-10R ปี 2016 ใช้คาลิเปอร์เบรกคู่หน้า Brembo M50 แบบ 4 พอร์ตที่ทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุด ร่วมกับจานเบรกคู่หน้ามีขนาด 330 มม. ซึ่งใหญ่กว่าเดิม 20 มม. เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสในการเบรก ส่วนด้านหลังเป็นแบบจานเบรกเดี่ยวขนาด 220 มม. และคาลิเปอร์แบบ 1 พอร์ต 

   นอกจากนี้ 2016 Kawasaki ZX-10R ใหม่ได้ชุดควบคุมใหม่ล่าสุดจาก Bosch โดยมี Inertial Measurement Unit (IMU) ซึ่งเป็นอุปกรณ์รับความเร่งยานพาหนะและความเร็วเชิงมุมเพื่อช่วยให้โปรแกรมคำนวณได้ว่ารถกำลังเร่งหรือเบรกและเข้าโค้งในองศาเท่าไร รวมไปถึงอุปกรณ์และระบบช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น

          - ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Sport-Kawasaki Traction Control หรือ S-KTRC)
          - ระบบช่วยเหลือการออกตัว (Kawasaki Launch Control Mode หรือ KLCM)
          - ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS Kawasaki Intelligent anti-lock Brake System หรือ KIBS)
          - ระบบช่วยการเข้าเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์เพื่อความรวดเร็วและแม่นยำ (Kawasaki Quick Shifter หรือ KQS)
          - ระบบควบคุมรอบทำงานเพื่อป้องกันแรงฉุดจากเครื่องยนต์ (Kawasaki Engine Brake Control หรือ KEBC) 
          - และโช้คอัพกันสะบัดไฟฟ้าจาก Ohlins


 โดย 2016 Kawasaki ZX-10R ที่เริ่มวางจำหน่ายในต่างประเทศตอนนี้มีให้เลือก 2 รุ่นคือ  Kawasaki ZX-10R ABS KRT Edition ที่ตกแต่งด้วยชุดสีพิเศษเขียว/ดำ (Lime Green/Ebony)ตั้ง ราคาจำหน่ายไว้ที่ 16,299 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.09 แสนบาท) และ Kawasaki ZX-10R ABS สีเทาเมทัลลิกแบบด้าน (Carbon Grey) ราคาเริ่มต้น 15,999 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5 แสนบาท)

          สำหรับไบค์เกอร์ชาวไทยอาจมีโอกาสลุ้นได้ขี่ 2016 Kawasaki ZX-10R ที่ประกอบในไทยด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันจาก บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด และคาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ 700,000 บาทโดยประมาณ




Kawasaki ER-6N

Kawasaki ER-6N ABS 2014 2015 ขี่ง่ายสนุกจากค่าย คาวาซากิ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Fun. Style. Easy. สำหรับตัว ER-6N 2014 มีราคาอยู่ที่ 275,000บาท ส่วนปี 2015 มีราคาอยู่ที่ 278,000บาท ถ้างั้นเรามาดูรายละเอียดกันเลย


Kawasaki ER6N ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 649 ซีซี. 4จังหวะ 8 วาล์ว DOHC แบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ แรงบิดจะสูงในรอบต่ำถึงปานกลาง มีอัตราเร่งที่รวดเร็วและยังมีหน้าปัดดีไซน์ใหม่แสดงผลทั้งอะนาล็อคและดิจิตอล ฟังก์ชั่นครับครัน อ่านง่าย สะดวก และมีฟังก์ชั่นแบบที่จะบอกค่าระยะทางที่ขับขี่ได้จากปริมาณเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ และอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกด้วย


ABS ที่จะทำให้เบรคได้ดั่งใจไม่สบัดที่มีระบบประมวลผลพัฒนาเพื่อการควบคุมที่แม่นยำมากขึ้น และยังมีขนาดกล่องที่เล็กลงช่วยประหยัดเนื้อที่ในการติดตั้ง สามารถออกแบบเบาะนั่งเพื่อวางเท้าได้ดียิ่งขึ้น และยังมีท่อไอเสียที่ออกแบบโครงสร้างภายในใหม่เพื่อช่วยเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ติดใต้เครื่องยนต์ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ทำให้ควบคุมและขับขี่ง่ายขึ้น ทั้งยังผ่านค่ามาตรฐานระดับ 6 ของท่อไอเสีย






Yamaha YZF-R1S

ถือว่าเป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตคลาส 1000 ที่ทั่วโลกต่างก็จับตามองกันกับ Yamaha R1 2015 ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานและถือว่าเป็นรถแนวสปอร์ตในคลาสนี้อันดับต้นๆ ที่ครองใจพี่น้องนักบิดหัวใจสปอร์ตชาวไทยกัน และในปี 2015 นี้ทางค่าย Yamaha ก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมรวมไปถึงเครื่องและเทคโนโลยีต่างๆ ใหม่หมดจด และในงาน Motorshow 2015 นี้ก็ได้ประกาศราคารอย่างเป็นทางการออกมากันแล้ว




ก่อนอื่นไปรู้จักกันอีกสักนิดก่อนกับ R1 2015 โดยรถสปอร์ตตัวเก่งคันนี้นั้นใช้เครื่องยนต์นั้นเป็นแบบ 4 จังหวะ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 998 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ × ช่วงชัก เท่ากับ 79 × 50.9 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 เครื่องยนต์ใหม่มีการปรับปรุงชุดเพลาข้อเหวี่ยงใหม่กับเทคโนโลยีแบบ Crossplane ที่ช่วยให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงบิดที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ชุด Adopts Balancer จะทำงานในทิศทางตรงกันข้ามกับชุดเพลาข้อเหวี่ยงเพิ่มความนุ่มนวลยามขับขี่ เสื้อสูบอะลูมิเนียม ลูกสูบอะลูมิเนียมฟอร์จขึ้นรูป วาล์วไอดีไอเสียไททาเนี่ยมปรับปรุงช่องทางเดินไอดีใหม่เพื่อประสิทธิภาพของ อากาศในรอบสูง ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ควบคุมด้วยกล่อง ECU พร้อมระบบควบคุม YCC-T (Yamaha Chip Controlled Throttle) เลือกขับขี่ได้ 3 โหมด มี Traction Control System และ Slide Control System (SCS) ระบบกันหน้าลอย Front Lift Control System (LIF) ระบบควบคุมขณะออกตัว Launch Control System (LCS) และ Quick Shift System (QSS) เรียกว่าใส่มาให้เต็มเหนี่ยวจริง ๆ สำหรับ R1 โฉมใหม่

ทีนี้เรามาดูความแตกต่างกันระว่าง YZF-R1 และ YZF-R1M กันบ้าง โดยทั้งสองตัวนั้นจะมีรูปทรงและเครื่องยนต์เดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ตัว R1 จะใช้ระบบกันสะเทือนหน้าเทเลสโคปิคหัวกลับขนาด 43 มม. ด้านหลังใช้ช็อคอับเดี่ยวของ KAYABA ส่วน YZF-R1M นั้นจะใช้ช็อคอับของ OHLINS แถมยังมีระบบ ERS (Electronic Racing Suspension) และประมวลผลเป็นระบบ SCU (Suspension Control Unit) ทำหน้าที่ปรับระยะยุบตัวให้เหมาะกับการใช้งาน

และในขณะนี้ทาง Yamaha Thailand ได้ประกาศราคาอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว R1 อยู่ที่ 899,000 บาท และ R1M อยู่ที่ 1,199,000 บาท เห็นอย่างนี้แล้วถือว่าสมน้ำสมเนื้อกันเลยทีเดียวกับราคา ใครที่ชื่นชอบในตระกูล R และอยากจะสัมผัสกับเทคโนโลยีล้ำๆ จากทางค่าย ก็ต้องรีบไปจับจองกันแล้วนะครับ เดี๋ยวคิวจะยาวไปเสียก่อน ทาง GreatBiker จะนำรีวิวการขับขี่จริงๆ มาฝากกันเร็วๆ นี้